นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ส่งสัญญาณเตือนถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวทีโลก โดยระบุว่า ความสงบและเสถียรภาพที่โลกเคยรู้จักนั้น "จะไม่กลับมาในเร็ววันนี้" และสิงคโปร์ในฐานะประเทศขนาดเล็กจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจ เพื่อเผชิญกับยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในวิดีโอนี้เผยแพร่บน YouTube เมื่อค่ำวันศุกร์ (4 เม.ย.) เพียงสองวันหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากเกือบทุกประเทศ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก และกระตุ้นให้หลายประเทศตอบโต้ทันที
“เราไม่สามารถคาดหวังได้อีกว่า กฎกติกาที่เคยปกป้องประเทศเล็กๆ อย่างเรา จะยังดำรงอยู่เหมือนเดิม” นายหว่องกล่าว พร้อมระบุว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง “ความจริงอันโหดร้าย” ที่ประเทศมหาอำนาจจะขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตน และใช้อำนาจทางเศรษฐกิจหรือแรงกดดันเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เราจะต้องเตรียมพร้อมทั้งทางจิตใจและการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท เราไม่สามารถรอให้ภัยมาถึงหน้าประตูบ้านแล้วค่อยตั้งรับ ความเสี่ยงนั้นเป็นเรื่องจริง และเดิมพันในครั้งนี้สูงมาก”
นายหว่องกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างรุนแรงในเวทีการค้าโลก โดยระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้สะท้อนว่า "ยุคของโลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนด้วยกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว" และกำลังถูกแทนที่ด้วยโลกที่เต็มไปด้วย กำแพงภาษี การกีดกันทางการค้า และความไม่แน่นอน"
เขายกตัวอย่างการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำในการส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดตามกฎ WTO (องค์การการค้าโลก) ว่า ขณะนี้กลับกลายเป็นผู้นำในการบ่อนทำลายระบบนั้นด้วยการดำเนินนโยบายแบบทวิภาคีและตอบโต้เชิงภาษี
“สิ่งที่สหรัฐฯ ทำอยู่ไม่ใช่การปฏิรูประบบ WTO แต่เป็นการละทิ้งระบบที่พวกเขาเองเคยสร้างขึ้น” เขากล่าว
แม้สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราภาษีในระดับต่ำ ประมาณ 10% จากโครงสร้างใหม่ของสหรัฐฯ แต่นายหว่องเตือนว่า ผลกระทบเชิงระบบจะลึกและกว้างกว่านั้นมาก โดยเฉพาะหากประเทศอื่นๆ เลือกดำเนินรอยตามแนวทางเดียวกัน
“ประเทศเล็กอย่างเราเสี่ยงที่จะถูกบีบ ถูกมองข้าม และถูกทิ้งไว้ข้างหลังในระบบที่ไม่เอื้อให้กับผู้เล่นขนาดเล็ก”
แม้ภาพรวมของโลกตอนนี้จะมีความน่ากังวล แต่นายหว่องกล่าวย้ำว่า สิงคโปร์ยังคงมี “ข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ประเทศสามารถตั้งรับและปรับตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
“เรามีเงินสำรองที่มั่นคง เรามีความเป็นเอกภาพภายในประเทศ และเรามีความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดในหลักการของเรา” เขากล่าว “เราจะยังคงเสริมสร้างขีดความสามารถของเรา และขยายเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน”
เขายังย้ำถึงความจำเป็นในการตระหนักรู้ต่อความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งในระดับการค้า การเมือง และความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนมีสติ เตรียมพร้อม และไม่ประมาทต่อคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังซัดเข้ามา
อ้างอิง CNA