ต้นแบบธุรกิจไร้ขีดจำกัด เบื้องหลัง Toyota ทำไมยังแข็งแกร่ง แม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ?

Tech & Innovation

Digital Transformation

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ต้นแบบธุรกิจไร้ขีดจำกัด เบื้องหลัง Toyota ทำไมยังแข็งแกร่ง แม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ?

Date Time: 16 เม.ย. 2568 08:00 น.

Video

GoPro หายไปไหน? แบรนด์กล้องสุดล้ำ จากสูงสุดสู่สามัญในพริบตาเดียว | Digital Frontiers EP.35

Summary

  • เมื่อพูดถึง Toyota คนส่วนใหญ่มักนึกถึงยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์โลกเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โตโยต้าได้ก้าวข้ามขอบเขตของการเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์มานานแล้ว บริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชาญฉลาดที่สุดในโลก ด้วยการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money วิเคราะห์ 3 กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงระดับโลก ที่ทำให้ Toyota ยังเป็นผู้แข็งแกร่งเสมอแม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง

เมื่อพูดถึง Toyota คนส่วนใหญ่มักนึกถึงยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์โลกเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โตโยต้าได้ก้าวข้ามขอบเขตของการเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์มานานแล้ว บริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชาญฉลาดที่สุดในโลก ด้วยการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต  รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money วิเคราะห์ 3 กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงระดับโลก ที่ทำให้ Toyota ยังเป็นผู้แข็งแกร่งเสมอแม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง 

รากฐานมั่นคงจากประวัติศาสตร์ยาวนาน

จุดเริ่มต้นของตำนาน Toyota ย้อนกลับไปในปี 1907 ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เมื่อ ซากิชิ โตโยดะ นักประดิษฐ์ผู้มีวิสัยทัศน์ได้สร้างเครื่องทอผ้าอัตโนมัติที่ปฏิวัติวงการสิ่งทอ ความสำเร็จครั้งนั้นได้จุดประกายให้ คิอิจิโร โตโยดะ บุตรชายของเขา มองเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเติบโต จนนำไปสู่การก่อตั้ง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น อย่างเป็นทางการในปี 1937

แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Toyota ต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อถูกบังคับให้เปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์พาณิชย์เป็นยานพาหนะทางทหาร และเมื่อสงครามจบในปี 1945 เศรษฐกิจญี่ปุ่นล่มสลาย ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย

จุดต่ำสุดมาถึงในปี 1950 เมื่อวิกฤตการเงินบีบให้ต้องปลดพนักงานจำนวนมาก จนคิอิจิโรต้องลาออกจากตำแหน่งประธาน แต่วิกฤตครั้งนี้กลับนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อบริษัทนำระบบการผลิตแบบลีน Toyota Production System มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่า ซึ่งต่อมากลายเป็นแบบอย่างให้กับบริษัทผู้ผลิตทั่วโลก

บทเรียนอันเจ็บปวดจากวิกฤตครั้งนั้นทำให้ Toyota ตระหนักว่า การพึ่งพาธุรกิจเดียวนั้นเสี่ยงเกินไป จึงเริ่มวางกลยุทธ์กระจายการลงทุนไปยังหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้

3  กลยุทธ์ที่ทำให้ Toyota ยังยิ่งใหญ่ แม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง

1. แตกไลน์ธุรกิจอย่างชาญฉลาด สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบวงจร

Toyota ไม่ได้เพียงขายรถยนต์ แต่สร้าง "ระบบนิเวศธุรกิจ" ที่ครบวงจร เมื่อคุณซื้อรถ Toyota สักคัน คุณไม่ได้แค่ได้รถยนต์ แต่ได้เข้าสู่โลกของบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่ Toyota Financial Services ที่ให้บริการสินเชื่อและประกันภัยครบวงจร ไปจนถึงแอปพลิเคชัน T-Connect ที่ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในการดูแลรถยนต์ แจ้งเตือนการซ่อมบำรุง วางแผนเส้นทาง และเชื่อมต่อกับระบบบันเทิงภายในรถ

นอกจากนี้ Toyota ยังรุกเข้าสู่ธุรกิจ Mobility as a Service ด้วยการร่วมลงทุนกับแพลตฟอร์มเรียกรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่าง Uber และ DiDi ในจีน พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มการเดินทางแห่งอนาคตที่จะเชื่อมโยงการเดินทางทุกรูปแบบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะ หรือยานพาหนะทางเลือกอื่นๆ

การต่อยอดเทคโนโลยีข้ามอุตสาหกรรมเป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้ Toyota ยิ่งใหญ่ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการพัฒนาแบตเตอรี่จาก Prius Plug-in Hybrid ให้กลายเป็นระบบพลังงานสำรองสำหรับบ้านอัจฉริยะ ช่วยให้สามารถจัดเก็บพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและจ่ายไฟฉุกเฉินในยามที่เกิดภัยพิบัติ ซึ่งเป็นปัญหาที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญบ่อยครั้ง

การลงทุนในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอาณาจักรธุรกิจของ Toyota ในปี 2018 บริษัทได้ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน Grab แพลตฟอร์มเรียกรถยนต์ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยให้ Toyota เข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน แต่ยังสนับสนุนการบูรณาการแพลตฟอร์มบริการการเคลื่อนที่ (MSPF) ของ Toyota เข้ากับการดำเนินงานของ Grab อีกด้วย

ในปี 2020 โตโยต้ายังได้ลงทุน 894 ล้านดอลลาร์ใน Joby Aviation สตาร์ทอัพที่พัฒนาอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งแบบไฟฟ้า (eVTOL) หรือที่เรียกว่า "แท็กซี่บินได้" ซึ่งมีศักยภาพในการปฏิวัติการเดินทางในเมืองใหญ่ที่ประสบปัญหาการจราจรติดขัด การลงทุนครั้งนี้ช่วยให้ Toyota ขยายวิสัยทัศน์ด้านการเคลื่อนที่จากถนนสู่ท้องฟ้า และเสริมความแข็งแกร่งในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและวัสดุน้ำหนักเบาที่จำเป็นสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท

2. ลงทุนในอนาคตอย่างมีวิสัยทัศน์ พร้อมกับกลยุทธ์ R&D ระดับโลก

Toyota ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก โดยมีงบประมาณด้านนี้สูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง ส่งผลให้บริษัทครองแชมป์การได้รับสิทธิบัตรมากที่สุดในสหรัฐฯ ติดต่อกัน 10 ปี ในปี 2023 Toyota ได้รับสิทธิบัตรถึง 2,667 รายการ ครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและระบบพลังงานใหม่ๆ

กลยุทธ์ด้านการวิจัยและพัฒนาของ Toyota แบ่งเป็นสองแผนชัดเจน: แผน A มุ่งไปที่นวัตกรรมยานยนต์ที่ใช้งานได้ภายใน 5 ปี เช่น การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีไฮโดรเจน และแผน B ที่เป็นการวิจัยเชิงสำรวจระยะยาว เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพจากสาหร่าย หุ่นยนต์ทางการแพทย์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง

บริษัทได้จัดสรรบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา 4% ไปอยู่ในโครงการแผน B พร้อมให้อิสระในการคิดค้นนวัตกรรมนอกกรอบ โดยไม่มีความกดดันด้านผลกำไรระยะสั้น ตัวอย่างที่น่าสนใจคือโครงการ "เกนกิ-คูคัง" (Genki-kûkan) ที่ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างพืชกับมนุษย์ในระบบนิเวศควบคุม ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบกรองอากาศประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในบ้านอัจฉริยะของโตโยต้า ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในบ้านได้ดีขึ้นถึง 40%

การลงทุนของ Toyota ยังกระจายทั้งในแง่ธุรกิจและภูมิศาสตร์ โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาอยู่ในภูมิภาคสำคัญทั่วโลก ทั้งในอเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก ยุโรป และตะวันออกกลาง ทำให้สามารถจับกระแสนวัตกรรมและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

นอกจากการวิจัยและพัฒนาภายในองค์กรแล้ว Toyota ยังมุ่งมั่นในการค้นหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านการลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ในปี 2017 บริษัทได้ก่อตั้ง Toyota Ventures ซึ่งแบ่งเป็นสองกองทุนหลัก: Frontier Fund II มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ ที่เน้นลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้ง AI หุ่นยนต์ การประมวลผลควอนตัม และเทคโนโลยีสมาร์ทซิตี้ และ Climate Fund II มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การดักจับคาร์บอนไปจนถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนรูปแบบใหม่

การลงทุนของ Toyota Ventures มีลักษณะที่น่าสนใจคือ 70% เป็นการลงทุนในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น (Series A และ B) และ 30% ในบริษัทที่เติบโตแล้ว (Series C ขึ้นไป) สร้างสมดุลระหว่างการค้นหาเทคโนโลยีแหวกแนวและการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพ ปัจจุบัน Toyota Ventures ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพมากกว่า 75 แห่งใน 15 ประเทศ

Toyota ยังมีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจกับบริษัทยานยนต์ชั้นนำระดับโลก ในปี 2010 พวกเขาลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ใน Tesla ถือหุ้น 2.5% พร้อมขายโรงงานในแคลิฟอร์เนียให้ Tesla ใช้ผลิต Model S แม้ว่าต่อมาจะขายหุ้นทั้งหมดในปี 2016 เนื่องจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรมองค์กร แต่การร่วมมือครั้งนั้นก็ช่วยให้โตโยต้าได้เรียนรู้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และซอฟต์แวร์ยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย

ในปี 2020 โตโยต้าได้จับมือกับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ตั้งบริษัทร่วมทุนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาดจีน ผสานจุดแข็งด้านแบตเตอรี่ของ BYD เข้ากับความเชี่ยวชาญในการพัฒนารถยนต์ของ Toyota  ความร่วมมือนี้ช่วยให้โตโยต้าสามารถแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

โครงการที่โดดเด่นที่สุดของ Toyota ในด้านการวิจัยและพัฒนาคือ Woven City เมืองอัจฉริยะต้นแบบขนาด 175 เอเคอร์ที่เชิงภูเขาฟูจิ ซึ่งเปิดตัวในปี 2020 เมืองนี้เป็นมากกว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็น "ห้องทดลองมีชีวิต" ที่ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยเซ็นเซอร์และระบบ AI มีรถยนต์ไร้คนขับวิ่งอยู่บนท้องถนนที่แบ่งเป็นสามระดับความเร็ว บ้านเรือนที่ผลิตพลังงานใช้เอง และการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ผู้ช่วย

Woven City ไม่ได้เป็นแค่โมเดลทดลอง แต่เป็นสนามทดสอบจริงสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่โตโยต้าจะนำไปพัฒนาต่อยอดในธุรกิจต่างๆ ทั้งยานยนต์ ที่อยู่อาศัย พลังงาน การดูแลสุขภาพ และระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก เช่น Panasonic, IBM และ Microsoft เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะปฏิวัติการใช้ชีวิตในอนาคต

3. ไม่ได้แค่ผลิตสินค้า แต่สร้างอนาคตที่ดีกว่าให้ผู้คน ด้วยปรัชญาธุรกิจที่มองไกลกว่ากำไร

ตั้งแต่ปี 1985 Toyota ได้ขยายธุรกิจไปสู่การสร้างที่อยู่อาศัย โดยสร้างบ้านในญี่ปุ่นไปแล้วราว 200,000 หลัง แต่ไม่ใช่บ้านธรรมดาที่คุณเห็นทั่วไป เพราะเป็นบ้านอัจฉริยะที่ต้านทานแผ่นดินไหวได้ด้วยโครงสร้างเหล็กโค้งพิเศษที่ยืดหยุ่นได้มากกว่าบ้านทั่วไปถึง 1.5 เท่า สามารถผลิตพลังงานใช้เองได้ถึง 80% จากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและระบบจัดเก็บพลังงาน และยังเชื่อมต่อกับรถไฮบริดของโตโยต้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรองยามฉุกเฉิน

บ้านอัจฉริยะของ Toyota ไม่เพียงเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพพลังงานเท่านั้น แต่ยังถูกควบคุมด้วยระบบ AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย เพื่อปรับการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างให้เหมาะสมตามเวลาและกิจกรรม รวมถึงมีระบบเฝ้าระวังสุขภาพที่สามารถตรวจจับความผิดปกติของผู้สูงอายุและแจ้งเตือนบุตรหลานได้ทันที ทำให้บ้าน รถยนต์ และโครงข่ายไฟฟ้าทำงานประสานกันอย่างลงตัว เหมือนระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ทุกส่วนเชื่อมโยงกัน

สิ่งที่ทำให้ Toyota แตกต่างจากบริษัทอื่นคือวิธีคิดแบบ Toyota Way ที่ยึดหลัก "monozukuri" (การสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่า) และ "kaizen" (การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง) หลักการนี้ไม่เพียงทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในธุรกิจรถยนต์ แต่ยังช่วยให้ขยายสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้อย่างมั่นคง บริษัทมองว่าทุกปัญหาคือโอกาสในการปรับปรุง และมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคมในระยะยาว มากกว่าการแสวงหากำไรระยะสั้น

ปรัชญานี้ยังส่งผลให้ Toyota เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฮบริดอย่าง Prius ตั้งแต่ปี 1997 ก่อนที่โลกจะตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นผู้พัฒนารถยนต์ไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์รายแรกของโลกอย่าง Mirai ซึ่งปล่อยเพียงน้ำบริสุทธิ์ออกจากท่อไอเสีย

นอกจากนี้ Toyota ยังลงทุนในการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว และเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น


ด้วยเงินลงทุนเกือบ 1,500 ล้านดอลลาร์ต่อปีในเทคโนโลยีล้ำสมัย Toyota ไม่เพียงป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่กำลังสร้างอนาคตที่มีเมืองอัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีระบบพลังงานสะอาดที่พึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนมีหุ่นยนต์และ AI ที่ช่วยดูแลผู้สูงอายุ

Toyota ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่แค่บริษัทผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้พลิกโฉมวงการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับผู้คนทั่วโลก เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ การเป็นแค่บริษัทรถยนต์อาจไม่เพียงพออีกต่อไป

ความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากการทำธุรกิจเดิมให้ดีเท่านั้น แต่ต้องกล้าที่จะลงทุนในอนาคต และนี่คือเหตุผลที่ทำให้โตโยต้ายังคงยิ่งใหญ่และน่าจับตามองกว่าที่เคย


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ