คงไม่มีใครลืมภาพกระเป๋าทรงหมวกกันน็อกสุดล้ำ BOYY Helmet Bag ที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ระดับโลกในชั่วข้ามคืน หลังจากลิซ่า BLACKPINK หยิบขึ้นมาคอมพลีตลุคสตรีทสุดเท่ ในฐานะผู้โบกธงต้อนรับรถแข่งเข้าเส้นชัยในงาน Formula 1 เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา ท่ามกลางแสงแฟลชและสายตาจากทั่วโลก สื่อต่างประเทศต่างรีบจ่อไมค์ถามว่า “นี่คือผลงานของใคร?”
แต่หากจะพูดถึง BOYY แค่ใบเดียวคงไม่พอ เพราะสาวกแฟชั่นหลายคนต่างคุ้นเคยกับซิลูเอตต์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครอย่าง BOYY Buckle Bag กระเป๋าทรงเรียบแต่เฉียบที่เล่นกับสัดส่วนหัวเข็มขัดโอเวอร์ไซซ์ กลายเป็นซิกเนเจอร์ที่สาวแฟสายมินิมอลทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
Thairath Money คอลัมน์พิเศษ BrandStory Exclusive ครั้งนี้พูดคุยกับ บอย-วรรณศิริ คงมั่น และ เจสซี่ ดอร์ซี่ (Jesse Dorsey) ผู้ก่อตั้งแบรนด์กระเป๋า “BOYY” ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแพชชั่นสู่แฟชั่นไร้กรอบ กระเป๋าใบแรกจากนิวยอร์กสู่ก้าวใหญ่ในโลกรีเทลใจกลางกรุงเทพมหานคร ความท้าทายของเจ้าของธุรกิจแฟชั่นและการบริหารสายการผลิตข้ามโลก ไอเดียฉีกขนบ เบื้องหลัง ความเป็น BOYY ที่สะท้อนตัวตนผ่านงานดีไซน์ที่ไปไกลมากกว่าแฟชั่นแบรนด์
“เราทั้งคู่ไม่ได้มีความรู้หรือเรียนด้านแฟชั่นมาก่อนเลย แต่เรามีไฟ มีความทะเยอทะยาน และมีความหลงใหลในดีไซน์ โดยเฉพาะกระเป๋า ช่วงนั้นเป็นช่วงของ 'It Bag Moment' มันเป็นยุคใหม่ของกระเป๋าในวงการแฟชั่นที่ไม่ใช่แค่ใส่ของได้ แต่กระเป๋าจะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายได้อย่างทรงพลัง กระเป๋าจากดีไซเนอร์แบรนด์ดังก็เริ่มเป็นอะไรที่ทุกคนต้องมี Balenciaga City Bag หรือ Chloe Paddington”
เจสซี่ เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของความทะเยอทะยานผ่าน “Summer Boy” กระเป๋าใบแรกของแบรนด์ที่เปิดตัวในคอลเล็กชัน Spring/Summer 2006 ซึ่งเกิดจากความรักในดีไซน์ และจิตวิญญาณแห่งการทดลอง หลังจากเขาได้พบกับ บอย ทั้งคู่เริ่มต้นบริหาร BOYY โดยควบสองบทบาท ทั้งในฐานะผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ผลักดันแบรนด์จากความหลงใหลในแฟชั่นและกระบวนการสร้างสรรค์กระเป๋า
ความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลงานให้คนในแวดวงแฟชั่นได้สัมผัส นำไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ BOYY ได้รับโอกาสวางจำหน่ายใน Colette ห้างสุดไอคอนิกแห่งกรุงปารีส ที่ถือเป็นหมุดหมายสูงสุดที่แบรนด์หน้าใหม่ใฝ่ฝันถึง การปรากฏตัวใน Colette ไม่เพียงเปิดประตูสู่ตลาดสากล แต่ยังปูทางให้ BOYY ได้ร่วมงานกับพาร์ตเนอร์และศิลปินจำนวนมาก
“ยุคนั้นบรรดาแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่มักจะตั้งชื่อตามเซเลบริตี้และนางแบบชื่อดัง เน้นภาพลักษณ์ไฮเอนด์สวยสง่าจากบรรดาแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่ได้รับความนิยมสูง ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้ BOYY เลือกที่จะนำเสนอสัญชาตญาณของตนเองผ่านกลิ่นอายความเท่ เพิ่มความแข็งแรงในแบบผู้ชายเข้าไปในเครื่องประดับ และคงไว้ซึ่งซิลูเอตต์ที่สะท้อนความสวยงามและความมั่นใจของผู้หญิง”
BOYY กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘Anti-It Bag’ กระเป๋าที่ไม่จำเป็นต้องตามกระแส แต่ตัวแม่แฟชั่นทุกคนต้องมี ! Serge, Leo, Karl, Bobby, Fred แบรนด์หยิบชื่อนักเขียน ศิลปินชาย เซเลบริตี้ชาย มาใช้ ฉีกขนบดีไซน์กระเป๋าถือผู้หญิงหวานหรูแบบเดิมๆ สู่การสร้างความรู้สึกใหม่ที่นำเสนอความเท่และทันสมัย
บอย เล่าให้เราฟังถึงความภาคภูมิใจของ “Slash” กระเป๋าครอสบอดี้กลิ่นอายร็อกแอนด์โรลที่โดดเด่นด้วยดีไซน์หนังฟอกดิบ ลูกเล่นลายพิมพ์หนังงู ตัดด้วยซิปเปอร์และสายสะพายโซ่เงิน ซึ่งหยิบชื่อของมือกีต้าร์จากวง Guns N' Roses มาใช้สะท้อนตัวตนกระเป๋าที่เปิดตัวในปี 2009 และทำให้ BOYY เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มากไปกว่านั้นยังเป็นผลงานที่สร้างแรงส่งให้ธุรกิจเติบโตอีกระดับ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ก้าวใหม่ในโลกรีเทล ทั้งการเปิดคาเฟ่และคอนเซปต์สโตร์ในประเทศไทย
“เราสั่งซื้อและส่งวัสดุคุณภาพสูงจากอิตาลีและยุโรปมายังไทยเพื่อผลิตและประกอบทุกชิ้นส่วนที่นี่” เจสซี่ เผยถึงกระบวนการผลิตที่ BOYY คิดค้นขึ้นอย่างพิถีพิถัน ในช่วงแรก ๆ เราใช้เวลาครึ่งสัปดาห์ในโรงงานเพื่อพัฒนากระเป๋าเคียงข้างทีมงาน เราอยากให้โรงงานเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร เป้าหมายของเราคืออะไร และมาตรฐานควรอยู่ตรงไหน” เขาเล่าถึงความทุ่มเทในช่วงก่อร่างสร้างแบรนด์ “ผมอยู่ตรงนั้น เพื่อร่วมพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ กับช่างฝีมือ เพื่อให้ทุกดีไซน์ออกมาตรงตามความฝันของเรา”
เขาย้ำว่า การเลือกผลิตในไทยไม่ได้มาจากเรื่องต้นทุนเป็นหลัก แต่เพราะความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโรงงานท้องถิ่น เพราะในช่วงเริ่มต้น สิ่งเดียวที่เรารู้คือ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับโรงงานสองแห่งในกรุงเทพฯ ปัจจุบันสินค้าบางกลุ่มของแบรนด์ เช่น รองเท้า แว่นตา ผ้าพันคอ หรือสินค้าในกลุ่มผ้าไหม จะผลิตในอิตาลี แต่สินค้าหลักอย่างกระเป๋าและเครื่องหนังทั้งหมดก็มีฐานผลิตอยู่ที่กรุงเทพฯ
“หากจะมีคำถามในเรื่องของกระเป๋า BOYY ผมอยากให้คุณถามในเรื่องของ ‘ดีไซน์’ เพราะเรื่องคุณภาพวัสดุ เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า BOYY ไม่ได้ด้อยไปกว่าแบรนด์ใหญ่ เราพยายามทำให้คุณภาพของ BOYY เทียบเท่ากับแบรนด์ระดับโลก หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ”
“BOYY เปลี่ยนแปลง เติบโต และพัฒนาตัวเอง เราผ่านการเปลี่ยนแปลง โตขึ้น เข้าใจมากขึ้น และแบรนด์เองก็เติบโตตามพวกเรา” เมื่อถามถึงการเติบโตของแบรนด์และตัวตน เขายอมรับว่า การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงอาจนำคุณไปสู่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของแบรนด์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจกระทบกับสิ่งดี ๆ ที่คุณมีอยู่แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ สองสามปีที่ผ่านมา เราได้ย้อนมองสิ่งที่เคยทำมา BOYY อยู่ในวงการนี้มา 19 ปี และตอนนี้คือช่วงเวลาที่เราต้องกลับไปสำรวจว่า ‘ช่วงเวลาใดกันแน่ที่ดีที่สุดของเรา’ เพื่อหาว่าจากนี้ไป อะไรคือสิ่งที่ควรทำต่อไป
“ทุกประสบการณ์ถ่ายทอดออกมาผ่านดีไซน์ที่เราสองคนต้องการจะสื่อสารไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เราอยู่ในนิวยอร์ก หรือช่วงที่เราเริ่มไปอิตาลี ตั้งแต่ปี 2007 เพื่อหาวัสดุด้วยตัวเองเราไปแบบไม่รู้จักใครเลย อิตาลีกลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเรา เราแต่งงานที่นั่น เป็นที่มาของ Bangkok Milano สองเมืองที่มีความหมายกับเรา บ่งบอกถึงเส้นทางของแบรนด์และเส้นทางของเรา”
ปัจจุบัน BOYY ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์กระเป๋า แต่ยังขยายมิติของการดีไซน์สู่ไลฟ์สไตล์ การออกแบบพื้นที่ร้านค้าให้เป็นเสมือนพื้นที่แสดงตัวตน การคอลแลบส์กับศิลปินและพาร์ตเนอร์ธุรกิจอย่างหลากหลายเพื่อออกแบบไอเดียสดใหม่ สร้างกรอบใหม่ของความเป็นลักชัวรี่ที่ไม่เหมือนใคร จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของ BOYY ในโลกธุรกิจ “อยากทำให้คนสนุกกับแฟชั่น หลังจากนี้คนจะได้เห็นตัวตนของ BOYY ที่เราเป็นอะไรได้มากกว่า Design & Fashion House” บอย กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -