“ทรัมป์เอฟเฟกต์” กดดันตลาดคริปโตฯ Bitcoin ทุบสถิติต่ำสุดรอบ 4 เดือน จากนี้อาจเป็นเกมของ Stablecoin

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“ทรัมป์เอฟเฟกต์” กดดันตลาดคริปโตฯ Bitcoin ทุบสถิติต่ำสุดรอบ 4 เดือน จากนี้อาจเป็นเกมของ Stablecoin

Date Time: 4 เม.ย. 2568 13:58 น.

Video

“SOURI” อาณาจักรขนม วิน-เมธวิน | BrandStory Exclusive EP.11

Summary

  • บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด เผยภาพรวมสินทรัพย์ดิจิทัลในไตรมาสแรกของปี 2025 พบว่าเดือนมีนาคมที่ผ่านมาตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่มูลค่าติดลบสูงสุด 20% และสกุลเงินอื่น ๆ เองก็ลดลงเช่นกัน รวมถึงผลกระทบจากการประกาศกำแพงภาษีของทรัมป์ทำให้คริปโตฯ ดิ่งหนัก ตลาดปิดรับความเสี่ยงเพราะนักลงทุนหันพึ่งพิงความมั่นคงมากกว่า

Latest


บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีการจัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “สรุปภาพรวมจาก Biden สู่ ทรัมป์: เมื่อผู้นำเปลี่ยนทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัลใน Q2/2025 จะเป็นอย่างไร?”

โดยนายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุนของเมอร์เคิล แคปปิตอลเผยว่า เดือนมีนาคมที่ผ่านมาตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่เป็นสกุลเงินอันดับ 1 มูลค่าติดลบสูงสุด 20% จุดต่ำสุดบริเวณ 76,600 ดอลลาร์ นับเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 4 เดือน อีกทั้งมูลค่าของกลุ่มอัลท์คอยน์ (Altcoin) มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอีเธอเรียม (ETH) ที่เป็นสกุลเงินอันดับ 2 ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ผ่านมา 55% ซึ่งนับเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 16 เดือน

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในตลาดคริปโตฯ นั้นยังมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น โอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ (Stagflation) ในสหรัฐฯ สูงขึ้น และยังมีความกดดันจากผลกระทบของสงครามการค้าหลังจากที่ “ทรัมป์” ประกาศกำหนดกำแพงภาษีกว่า 185 ประเทศ

ตลาดคริปโตฯ ดิ่งหนักหลังเผชิญภาษีทรัมป์เอฟเฟกต์

ในปีนี้นักลงทุนต้องเผชิญกับความกังวลจากผลที่แปรปรวนของตลาดคริปโตฯ เช่น โซลาน่า (SOL), อีเธอเรียม (ETH) และเหรียญอื่น ๆ ที่ติดลบถึง 18% ไม่รวมบิตคอยน์ที่ติดลบ 7% แต่พวกเขายังเปิดรับความเสี่ยงต่อมาเรื่อย ๆ

จนกระทั่งในวันที่ 3 เม.ย. 2568 ได้มีการประกาศกำแพงภาษีกว่า 185 ประเทศรวมถึงประเทศไทยที่ถูกตั้งภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 36% ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์เสี่ยงทุกชนิด ทำให้ตลาดคริปโตฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลที่สำคัญลดลงมากกว่าเดิมเนื่องจากตลาดปิดรับความเสี่ยงซึ่งส่งผลอย่างมากต่อสินทรัพย์ที่ไม่มั่นคงอย่างคริปโตฯ โดยเฉพาะกลุ่มอัลท์คอยน์

จากรายงานของ Bloomberg พบว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์นั้นส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดร่วงหล่นลงมากถึง 4.5% หรือประมาณ 81,770 ดอลลาร์ ในขณะที่เหรียญอื่น ๆ ทั้ง ETH และ XRP ก็ร่วงลง รวมถึงโซลาน่าก็ติดลบถึง 10% เช่นกัน เพราะนักลงทุนปิดรับความเสี่ยงในตลาดคริปโตฯ อย่างต่อเนื่อง และหันไปพึ่งพิงสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้นจนทุบสถิติยอดสูงสุดประวัติศาสตร์ตลาดทองคำ

นอกจากผลกระทบจากทรัมป์แล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ตลาดคริปโตฯ ปิดรับความเสี่ยง คือตัวเลขการคาดการณ์ (Economic Projections) ชี้ให้เห็นว่า GDP ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในช่วงปี 2025 และยังมีภาวะเงินเฟ้อที่น่าเป็นห่วง ส่งผลให้ภาพรวมของคริปโตฯ และบิตคอยน์ตั้งแต่ต้นปีมีการติดลบกว่า 33% และเมื่อผนวกเข้ากับมาตรการใหม่ของทรัมป์ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกแปรปรวนมากขึ้น จึงทำให้นักลงทุนแสดงความกังวลและพยายามหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทุกประเภท

ภาณุวิชญ์ ไทยานนท์ ที่ปรึกษาการลงทุนอาวุโสของเมอร์เคิล แคปปิตอล ให้ความเห็นว่า หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีทำให้ตลาดมีความเสี่ยงมากขึ้นเพราะอาจเกิดสงครามการค้าจากการที่ประเทศต่าง ๆ ก่อกำแพงภาษีสูงขึ้นเพื่อแข่งกับสหรัฐฯ และตลาดคริปโตฯ ที่ไม่มีความแน่นอนนั้นก็อาจติดลบมากขึ้นเช่นกัน หากแต่จะส่งผลเพียงระยะสั้น หรือแค่ 1 ไตรมาสเท่านั้น

ทั้งนี้ผลกระทบจากทรัมป์ก็อาจจบลงเร็วกว่าที่คิดเพราะสิ่งที่ผันผวนง่ายกว่าตลาดคริปโตฯ คืออารมณ์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนักลงทุนไม่ชอบความเสี่ยงที่ไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่น่าจับตามองคือสินทรัพย์ดิจิทัลจะไปในทิศทางไหนในไตรมาสที่ 2 หลังจากที่ต้องเผชิญกับค่าติดลบอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรก

แนวโน้มไตรมาส 2 - Stablecoin มาแรง

แม้ว่าจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ส่งผลให้คริปโตฯ มีมูลค่าตลาด (Market cap) ลดลงและผันผวน แต่ในส่วนของบิตคอยน์ยังคงแข็งแรงกว่ากลุ่มอื่น ๆ อยู่ เพราะนักลงทุนบางส่วนย้ายเงินออกจากอัลท์คอยน์เพื่อเข้าไปลงทุนกับบิตคอยน์แทน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีการแปรปรวนมากในช่วงนี้แต่นักลงทุนก็ยังไม่ถอดใจกับการถือครองคริปโตฯ

จากการสัมมนาพิเศษ เมอร์เคิล แคปปิตอลเผยว่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าจะมีโอกาสเติบโตในไตรมาส 2 คือ

  • Stablecoins project Section
  • DeFi Sector
  • Tokenization + Real World Asset Section

โดยเฉพาะสเตเบิลคอยน์หรือเหรียญมูลค่าคงที่ ที่มีแนวโน้มว่าอาจมาแรงในปี 2025 เนื่องจากทางรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์พยายามผลักดันให้ทั่วโลกมีการใช้สกุลเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ มากขึ้นผ่านการถือสเตเบิลคอยน์เพราะยิ่งมีคนใช้เงินสกุลดอลลาร์และซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ มากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่อสหรัฐฯ

อีกทั้งสเตเบิลคอยน์ยังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการขึ้นลงของราคาตลาด จึงค่อนข้างตอบโจทย์ความต้องการเหล่านักลงทุนที่ไม่อยากเจอกับความผันผวนที่ไม่แน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังให้ความสนใจกับการใช้สเตเบิลคอยน์ เช่น ประเทศไทย นั้นจะมีโอกาสได้ใช้ “เงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่” ภายในปีนี้ตามแนวโน้มหรือไม่

ที่มา: Merkle Capital, Bloomberg

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ