ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคา Bitcoin เมื่อช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 7 เม.ย. ทรุดหนักต่ำกว่าระดับ 80,000 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนกำลังเตรียมรับมือกับความผันผวนในตลาดการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าแบบเข้มงวดทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ข้อมูลจาก TradingView แสดงให้เห็นว่า ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงกว่า 4% มาเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 76,000 -77,000 ดอลลาร์ในช่วงบ่ายวันจันทร์ ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดเกือบ 85,000 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลในเดือนมกราคมถึงเกือบ 30%
ขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ได้รับผลกระทบหนักกว่า โดย Ether และ Solana ร่วงลงประมาณ 8% และ 6% ตามลำดับ
การปรับตัวลดลงของ Bitcoin ทำให้เกิดการชำระบัญชีแบบลอง (long liquidations)เนื่องจากนักเทรดที่เดิมพันว่าราคาจะเพิ่มขึ้นถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อชดเชยผลขาดทุน โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่า Bitcoin มีการชำระบัญชีแบบลองมากกว่า 411 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Ether มีการชำระบัญชีแบบลองถึง 349 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนพากันรีบขายเหรียญคริปโตหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า โดยกังวลว่าการขึ้นภาษีจะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมด โดยเฉพาะกับประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ สร้างความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ซึ่งความกังวลนี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วนอย่างหนัก
ตามข้อมูลจากดัชนี S&P Global Broad Market Index โดย S&P Dow Jones Indices ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกสูญเสียมูลค่ารวมกว่า 7.46 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลาเพียง 2 วันทำการหลังการประกาศมาตรการภาษีของทรัมป์ โดยแบ่งเป็นความเสียหายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 5.87 ล้านล้านดอลลาร์ และในตลาดหลักอื่นๆ ทั่วโลกอีก 1.59 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วนราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงถึง 15% ในปี 2568 นี้ และหากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตโดยตรง คาดว่าราคาจะยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่อไป โดยความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้บดบังปัจจัยบวกด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่คริปโตเคยคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์ในปีนี้
เจฟฟ์ เคนดริก หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของ Standard Chartered ให้ความเห็นว่า "ตลาดมีความวุ่นวายมากในขณะนี้" แต่เขาเชื่อว่า "Bitcoin จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายภาษีใหม่นี้ได้ เพราะการที่สหรัฐฯ พยายามแยกตัวทางเศรษฐกิจทำให้การถือครองเงินสกุลปกติมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดจะส่งผลดีต่อ Bitcoin"
อ้างอิง TradingView , ,CNBC