ดูเหมือนว่าสงครามการค้าจะกลายเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากขึ้น เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้าจากกว่า 180 ประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่ทรัมป์ได้มีการประกาศว่าจะเก็บภาษีเพิ่มอีก 34% สำหรับสินค้าจากจีน จากที่ก่อนหน้านี้ได้ขึ้นภาษีจีนไปแล้ว 20% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple มาก เนื่องจากใช้จีนเป็นฐานการผลิตสินค้าเกือบทั้งหมด
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าภาษีรวมที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากจีนอาจเพิ่มเป็น 54% หรือสูงสุดถึง 104% หากทรัมป์ดำเนินการตามแผนเพิ่มภาษี 50% อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าที่ผลิตในจีน เช่น iPhone, iPad, MacBook และ AirPods สูงขึ้นอย่างมาก
หลังจากการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ส่งผลตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก และแม้ว่าโดยรวมตอนนี้จะเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย แต่หุ้นของ Apple กลับถูกเทขายอย่างหนักและต่อเนื่องโดยลดลงถึง 3.7% เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่า บริษัทจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
เนื่องจากการขู่เก็บภาษีของทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าตลาดของ Apple หายไปในวันเดียวถึง 311,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10,000 ล้านบาท) วันหลังจากนั้นจีนก็ตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษี 34% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ทั้งหมด พร้อมจำกัดการส่งออกแร่หายาก ส่งผลให้หุ้นของ Apple ก็ร่วงหนักไปอีกเพราะพึ่งพาธุรกิจฮาร์ดแวร์จากจีนอย่างมาก
การร่วงลงของหุ้น Apple ติดต่อกัน 3 วันทำให้หุ้นลดลงรวม 19% ซึ่งเท่ากับสูญเสียมูลค่าตลาด (Market Cap) ไปถึง 638,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22 ล้านล้านบาท) โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า Apple เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากที่สุด เนื่องจากพึ่งพาการผลิตในจีนเป็นหลักโดยมีฐานผลิต iPhone ถึง 90% แต่ตอนนี้จีนกำลังเผชิญกับภาษี 54% ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาหนักใจที่ Apple ต้องเผชิญเพราะต้องเลือกระหว่างยอมผลิตที่จีนต่อไปแต่ต้นทุนสูงขึ้น หรือถอยกลับไปตั้งหลักที่อเมริกา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถูกมองว่า การผลิต iPhone ในสหรัฐอเมริกาแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ที่ทำการผลิตในอเมริกาจะเป็นสินค้ากลุ่ม Mac ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในไลน์การผลิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตที่นานกว่าและต้นทุนมหาศาล
ซึ่งตอนนี้นโยบายของทรัมป์ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจใด ๆ ให้กับ Apple เพื่อมาตั้งฐานการผลิต iPhone ในสหรัฐฯ นอกเสียจากมาตรการการขึ้นภาษีแบบกระทันหันนี้ และแม้ว่า Apple จะมีโรงงานในอินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย แต่ประเทศเหล่านั้นก็ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นภายใต้นโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์เช่นกัน และเมื่อภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ Apple อาจต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง ขึ้นราคาสินค้า หรือ แบกรับต้นทุนจากภาษี
หากไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ในนาทีสุดท้าย ผลสรุปที่ Apple จะได้คือการมีต้นทุนที่สูงขึ้นทันที โดย David Vogt นักวิเคราะห์จาก UBS กล่าวว่า iPhone ประมาณ 1 ใน 3 (หรือกว่า 70 ล้านเครื่อง) ที่ถูกผลิตในจีนแล้วขายในอเมริกา จะถูกบวกค่าภาษีรวมที่ประมาณ 60% นั่นอาจทำให้ต้นทุน iPhone ที่มีต้นทุนดิบประมาณ 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อเครื่อง ซึ่งเพิ่มขึ้นอีก 330 ดอลลาร์สหรัฐต่อเครื่องเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่ง Apple เคยถูกมองว่าเป็นบริษัทที่สำคัญต่อทั้งสหรัฐฯ และจีน แต่ตอนนี้ผู้ผลิต iPhone กลับกลายเป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อเกมสงครามการค้าครั้งนี้ เพราะไม่เพียงแต่ภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นในตลาดอเมริกาเท่านั้น แต่การตอบโต้จากจีนก็อาจกระทบยอดขายในประเทศจีนอีกด้วย
แต่ที่น่าเจ็บใจสำหรับผู้ผลิต Apple นั่นคือการที่ Tim Cook ซีอีโอของ Apple พยายามทุ่มเงินบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อหนุนในพิธีสาบานตนของทรัมป์ ด้วยความหวังที่จะลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วน iPhone จากจีน แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ผลตามที่หวังไว้ทำให้ Apple ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงมากขึ้น
แม้บริษัทฯ จะมีตัวเลือกว่าจะผลักภาระไปที่ลูกค้า หรือยอมลดกำไรลง แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผลกระทบโดยรวมจะรุนแรงอยู่ดี Vogt คาดว่า อัตรากำไรขั้นต้นของ Apple อาจลดลงจาก 46% เหลือ 40% และกำไรต่อหุ้นอาจลดลงถึง 20% ภายในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาหุ้น Apple ดิ่งลงอย่างหนักทันทีหลังจากทรัมป์ประกาศนโยบายขึ้นภาษี
ผลกระทบจากภาษีที่ถูกเก็บจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจทำให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ใช้งานประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป ทีวี และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
เราอาจเห็นราคาสินค้าของ Apple เพิ่มขึ้น 104% สำหรับล็อตที่ผลิตในจีน และแม้ Apple จะเริ่มย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังอินเดีย มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ประเทศเหล่านั้นก็โดนขึ้นภาษีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เวียดนามได้รับภาษีเพิ่มขึ้น 46% สะท้อนให้เห็นปัญหาว่าตอนนี้แหล่งผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ ของ Apple ก็ล้วนแต่มาจากหลายประเทศที่โดนเก็บภาษีเช่นกัน
หาก Apple ขึ้นราคาเท่ากับภาษี จะทำให้ iPhone 16e รุ่นพื้นฐานที่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 599 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20,827 บาท) อาจพุ่งไปที่ 1,222 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 42,501 บาท
MacBook Air 15 นิ้วที่ขายในราคาเริ่มต้นที่ 1,199 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 41,701 บาท) อาจพุ่งเป็น 2,446 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 85,064 บาท
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เสมอไปว่าภาษีจะทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นเท่ากัน เพราะบางบริษัทอาจยอมแบกรับต้นทุนเองเพื่อแข่งขันในตลาด ตัวอย่างเช่น Apple เพิ่งลดราคา MacBook Air รุ่นใหม่ลง 100 ดอลลาร์สหรัฐ และในเดือนกุมภาพันธ์ Apple ยังประกาศว่าจะลงทุนกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งหากทำได้อาจสามารถลดต้นทุนการผลิตของ Apple ในอนาคต
ที่มา: CNBC, The Economist, CNET
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney