มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นตลอดช่วงสามวันทำการที่ผ่านมา (7-9 เม.ย.2568) ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า ทำเนียบขาวอาจชะลอการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวออกไป
ความสนใจของนักลงทุนจำนวนมากจึงพุ่งเป้าไปที่กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม "Magnificent Seven" หรือ 7 หุ้นนางฟ้า ที่เผชิญแรงเทขายอย่างหนักตั้งแต่วันจันทร์ (7 เม.ย.) และยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องในตลาดหลักหลายแห่ง สะท้อนถึงภาวะปรับฐานของตลาดหุ้นโดยรวม ก่อนที่จะปิดตลาดในแดนลบ ส่งผลให้มูลค่ารวมของกลุ่มบริษัทนี้หายไปแล้วกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 69 ล้านล้านบาท) นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
แม้หุ้นกลุ่มดังกล่าวจะฟื้นตัวได้ในช่วงสั้น ๆ เมื่อวันอังคารที่ 8 เมษายน โดย Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 8% และ 7% ตามลำดับ หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งจุดประกายความหวังว่า สหรัฐฯ อาจสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ๆ ในอนาคต แต่ท้ายที่สุด ราคาหุ้นกลับพลิกติดลบในช่วงปิดตลาด ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีตอบโต้ระหว่างประเทศซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้
Tesla (TSLA) และ Apple (AAPL) เป็นสองบริษัทที่เผชิญแรงขายหนักที่สุดในกลุ่ม โดยราคาหุ้นลดลงกว่า 20% นับตั้งแต่การประกาศภาษี ขณะที่ Amazon (AMZN), Nvidia (NVDA) และ Meta (META) ร่วงลงเกือบ 13% ส่วน Google (GOOG) ลดลง 7% ขณะที่ Microsoft (MSFT) ปรับตัวลงน้อยที่สุดที่ 6.9%
การปรับลดในรอบล่าสุดส่งผลให้มูลค่าตลาดของกลุ่มหุ้นนี้หายไปกว่า 3.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10.8 ล้านล้านบาท) และหากนับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน วันที่ทรัมป์ประกาศแผนภาษีสองขั้นตอน มูลค่ารวมของกลุ่มก็ลดลงไปแล้วกว่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Apple ได้รับผลกระทบหนักที่สุด สูญเสียมูลค่าตลาดไปกว่า 7.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่ม "7 หุ้นนางฟ้า" ซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนหลัง โดยมีส่วนสำคัญต่อการปรับตัวลงของดัชนี S&P 500 ซึ่งสูญเสียมูลค่าตลาดรวมไปกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเพียงสองวันทำการ
ดัชนี Nasdaq ซึ่งมีสัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมาก ปิดตลาดในแดนลบโดยร่วงลงกว่า 2% หลังจากเคยฟื้นตัวขึ้นมาถึง 4.6% ระหว่างวัน และปิดสัปดาห์ด้วยผลประกอบการรายสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 5 ปี ทั้งนี้ หากนับตั้งแต่จุดสูงสุดในช่วงปลายปี 2024 มูลค่าตลาดรวมของกลุ่มหุ้นนางฟ้าได้หายไปแล้วกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ (Big Tech) เนื่องจากบริษัทเหล่านี้พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ตัวอย่างเช่น iPhone ของ Apple มากกว่า 90% ผลิตในจีน
ขณะที่ Tesla นำเข้าชิ้นส่วนจำนวนมากจากต่างประเทศ และผลิตภัณฑ์ของ Nvidia ก็มีส่วนประกอบที่นำเข้าจากเม็กซิโกและไต้หวัน นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังมีรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีข้ามพรมแดนเช่นกัน
แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์จาก Wedbush ระบุว่า Apple และ Tesla เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในรอบนี้ โดย Apple ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เนื่องจาก iPhone ส่วนใหญ่ประกอบขึ้นในประเทศจีน ภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจบั่นทอนอัตรากำไรขั้นต้น และบีบบังคับให้ Apple ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อรักษาระดับกำไร
ในหมายเหตุวิเคราะห์ ไอฟส์ชี้ว่า มาตรการภาษีชุดนี้ถือเป็น “หายนะโดยสมบูรณ์” สำหรับ Apple แม้ว่าในช่วงต้นของรัฐบาลทรัมป์ บริษัทจะเคยได้รับข้อยกเว้นด้านภาษี แต่ในครั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังไม่แน่ใจว่า Apple จะได้รับการยกเว้นอีกหรือไม่ แม้จะเพิ่งประกาศแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้า
สำหรับ Tesla กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านภาพลักษณ์ในประเทศจีน ภายหลังซีอีโอ อีลอน มัสก์ แสดงจุดยืนสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ และแนวคิดขวาจัดในยุโรป ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคชาวจีนหันไปเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง BYD แทน
นอกจากนี้ การประกาศภาษีเพิ่มเติมยังมาถึงในช่วงที่บริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากกำลังลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยี AI ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนการผลิต และอัตรากำไรสุทธิ อีกทั้งยังเพิ่มความกังวลว่า ความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม
ในบรรดาบริษัทกลุ่ม Magnificent Seven นั้น Microsoft ถูกมองว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคธุรกิจองค์กรซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่า อีกทั้งยังมีการพึ่งพาการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระดับต่ำ ตามความเห็นของ Gil Luria นักวิเคราะห์จาก DA Davidson
โดยหลังจากการปรับตัวลดลงของอย่างหนักของหุ้น Apple ยังดันให้ Microsoft กลับขึ้นแท่นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง ณ ราคาปิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Microsoft มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Apple มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.59 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ราคาหุ้นทั้ง 7 ตัวที่ปรับตัวตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม
อ้างอิงข้อมูล Yahoo Finance , Reuters , CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -